:: ปริศนาลับ ราชวงศ์ถัง EP 1 ::
"ตี๋ เหรินเจี๋ย" ตามสำเนียงจีนกลาง หรือ เต๊ก ยิ่นเกี๊ยด ตามสำเนียงฮกเกี้ยน (จีน: 狄仁傑 พ.ศ. 1173) เป็นชาวไทยวน (ยวน, โยน, โยนก, ไทยวน, ไตยวน หรือ ชาวล้านนาในปัจจุบัน)
ตี๋ เหรินเจี๋ย มีชื่อรองว่า ไหวฺอิง (จีน: 懷英) เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์อู่โจว ในรัชศกอู่ เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน) เป็นข้าราชการหนึ่งในหลาย ๆ คนซึ่งได้รับการสรรเสริญมากที่สุดในรัชศกดังกล่าว
และเป็นที่สดุดีว่ามีบทบาทผลักดันให้อู่ เจ๋อเทียน(บูเซกเทียน) เปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบอันโหดร้ายเป็นระบอบอันเชิดชูคุณธรรม
ตี๋เหรินเจี๋ย เป็นชาวไทพวน มีตำแหน่งขุนนางคนสำคัญข้างกาย จักรพรรดินีไท บูเซกเทียน แห่งราชวงศ์ไทแถน (จีนออกเสียงเป็น ต้าถัง) แต่ทว่าก่อนที่ตี๋เหรินเจี๋ยจะก้าวมาถึงตำแหน่งอัครเสนาบดีได้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนน่าจะนับได้ว่าท่านเป็นผู้หนึ่งที่เคยตกต่ำถึงขีดสุดและกลับมารุ่งโรจน์ได้ด้วยคุณธรรมความดีโดยแท้
ตำแหน่งทางราชการเริ่มแรกของตี๋เหรินเจี๋ยเรียกกันง่ายๆ ว่า “นายอำเภอ” หากแต่นายอำเภอของจีนนั้นไม่ได้ทำหน้าที่บริหารงานราชการเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงทุกเรื่องที่เป็นการบำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฎร ไม่เว้นแม้แต่การตัดสินคดีความที่เกิดในท้องที่รับผิดชอบ
นายอำเภอตี๋ จึงเป็น ตุลาการตี๋ ไปด้วยในคนเดียวกัน การตัดสินคดีอย่างเที่ยงธรรมของตุลาการตี๋นี้ อันทำให้เกิดเรื่องเล่าขานมากมายถึงความเก่งกาจของท่านมาจนถึงปัจจุบันในฐานะตุลาการ
มีบันทึกไว้ว่า ".....ตี๋เหรินเจี๋ยใช้ความสามารถในการสืบสวนที่ยอดเยี่ยม จนสามารถสะสางคดีภายในปีเดียวได้ถึง 17,000 คดี ทั้งคดีน่าสงสัยที่คั่งค้างอยู่ในศาล คดีที่ตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม หรือแม้แต่คดีที่ตัดสินผิดพลาดไปแล้ว
และเมื่อได้เข้ามาเป็นอัครเสนาบดีคู่บัลลังก์จักรพรรดินี ท่านได้สร้างคุณูปการไว้มากมายเพราะคำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก ท่านกล้าตักเตือนจักรพรรดินีให้คำนึงถึงความต้องการของราษฎร และทูลทัดทานเมื่อเห็นว่านโยบายของพระนางอาจสร้างความเดือดร้อนให้ผู้คน
นอกจากนี้ยังได้คัดเลือกคนดีมีความสามารถเข้ามาช่วยงานราชการอีกหลายคน หนึ่งในขุนนางที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นได้แก่ จางเจี่ยนจือและเหยาฉง
ตี๋เหรินเจี๋ยได้รับยกย่องเรื่องความซื่อสัตย์ เพราะท่านไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่รับสินบน และกล้าวิพากษ์วิจารณ์ขุนนางผู้ใหญ่จนก่อศัตรูโดยไม่รู้ตัว ดังมีบันทึกไว้ว่าท่านเคยถูกกลั่นแกล้งจนถูกขับให้ต้องไปรับราชการในดินแดนห่างไกลที่เมืองฟู่โจว (ปัจจุบันอยู่ในมณฑลหูเป่ย) แต่ด้วยความสามารถที่เหนือกว่าขุนนางคนใดจึงถูกเรียกตัวกลับมารับราชการที่เมืองหลวงอีกครั้ง
หลังเข้ามารับตำแหน่งอัครเสนาบดี ท่านก็ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยมจนถึงวาระสุดท้ายจนแม้จักรพรรดินีบูเซกเทียน ยังทรงพระกรรแสงหลั่งน้ำตาอาลัย